You are currently viewing สัญญาณเตือนโรคไขมันพอกตับ รู้ไว้ก่อนแก้ไขได้

สัญญาณเตือนโรคไขมันพอกตับ รู้ไว้ก่อนแก้ไขได้

หากคุณเป็นคนที่ชอบสังสรรค์ หรือชอบกินอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรต ของหวาน ของมัน หรือของทอดอยู่บ่อย ๆ อาจทำให้เกิดโรคร้าย อย่าง โรคไขมันพอกตับ ซึ่งมีหลายคนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังประสบกับโรคนี้ เพราะเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการผิดปกติ และหากปล่อยลุกลาม อาจต้องเผชิญกับโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ในที่สุด ดังนั้นบทความในวันนี้ Hillkoff จะมาบอกสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเป็น โรคไขมันพอกตับ อยู่หรือไม่? ถ้าพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

โรคไขมันพอกตับ อันตรายอย่างไร ทำไมต้องระวัง

“ตับ” อวัยวะสำคัญที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในร่างกาย ทำหน้าที่ทำลายสารพิษต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายจากเลือด และเป็นที่กักเก็บพลังงานในรูปแบบไขมัน เพื่อใช้สร้างเป็นแหล่งพลังงาน แต่หากกินอาหารที่ให้พลังงานสูง หรือมีไขมันสูงเกินไป อาจทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ หรือที่เรียกว่า “ไขมันพอกตับ” ได้

โรคไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) หรือไขมันเกาะตับ เกิดจากการสะสมของไขมันในตับมากเกินไป และไม่แสดงอาการเจ็บปวด โดยจะมีปริมาณไขมันอยู่ที่ประมาณ 5-10% ของตับ ซึ่งไขมันที่เข้าไปเกาะตับมักจะเป็นไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ ภาวะนี้พบได้บ่อย และทำให้ผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติ โดยโรคไขมันพอกตับแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้

  • ระยะที่ 1: ไขมันจะเริ่มก่อตัวขึ้นบริเวณเนื้อตับ แต่จะไม่เกิดการอักเสบ หรือพังผืด
  • ระยะที่ 2: บริเวณตับจะเกิดการอักเสบ หากปล่อยไว้ไม่รีบรักษาอาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง
  • ระยะที่ 3: เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง โดยตับจะถูกทำลาย และทดแทนด้วยพังผืด
  • ระยะที่ 4: เซลล์ตับจะถูกทำลายส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดตับแข็ง และเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ

สาเหตุ และผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไขมันพอกตับ

สาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคไขมันพอกตับ มีทั้งหมด 2 สาเหตุหลัก ๆ ดังนี้

  1. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

ซึ่งความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์

  1. เกิดจากปัจจัยอื่น ๆ 

เช่น การรับประทานอาหารประเภทหวาน มัน คาร์โบไฮเดรตเป็นจำนวนมาก จึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ของโรคไขมันพอกตับ คือ

  • กลุ่มคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือมีน้ำตาลในเลือดจำนวนมาก
  • ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิเบล
  • ผู้ที่มีไขมันดี หรือ HDL ต่ำ
  • ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

รู้ให้ทัน!! อาการของโรคไขมันพอกตับ

โรคไขมันพอกตับ สามารถเกิดขึ้นได้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย ดื่มสุราเป็นประจำ โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง ถึงแม้ว่าไขมันพอกตับจะไม่มีอาการเฉพาะ แต่สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • นอนไม่หลับ
  • มีอาการปวดจุกแน่นชายโครง
  • ท้องอืด อาหารไม่ย่อย

วิธีการป้องกัน และวิธีลดความเสี่ยงจากโรคไขมันพอกตับ

  1. ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินมาตรฐาน ควรออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย อย่างน้อย 0.5-2 กิโลกรัม/เดือน
  2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อาหารที่มีไขมันต่ำ อาหารกากใยสูง และให้พลังงานต่ำ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารจำพวกแป้ง และคาร์โบไฮเดรต
  3. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และโรคไขมันในเลือดสูง ควรรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ
  4. ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  5. งด หรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับผู้ชายไม่ควรดื่มเกิน 2-3 แก้ว/วัน และสำหรับผู้หญิงไม่ควรดื่มเกิน 1-2 แก้ว/วัน
  6. ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง

นอกจากนี้คุณสามารถตรวจการทำงานของตับได้ 2 วิธี คือ

  • การตรวจ Liver Function Test 

คือ การตรวจว่าการทำงานของตับมีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งทางการแพทย์จะตรวจให้ได้ก็ต่อเมื่อต้องการตรวจหาสาเหตุของโรคอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของตับ เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาต่อไป