You are currently viewing รู้ให้ทัน เพื่อป้องกันอาการความดันสูง

รู้ให้ทัน เพื่อป้องกันอาการความดันสูง

อาการความดันสูง หรือความดันโลหิตสูง เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา ไม่ว่าจะเป็น ภาวะหัวใจวาย โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งความน่ากลัวของโรคความดันโลหิตสูง คือ เป็นโรคที่ไม่มีอาการ และจะเป็นโรคเรื้อรังรุนแรง หากไม่สามารถควบคุมโรคได้

ซึ่งบทความในวันนี้ Hillkoff จะพาทุกคนมาสังเกต อาการความดันสูง และเมื่อความดันสูงควรทำอย่างไร ถ้าพร้อมแล้วไปดูกัน

วิธีรับมือกับ อาการความดันสูง 

อาการความดันสูง

โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) หรือ อาการความดันสูง เป็นโรคที่ปกติแล้วจะตรวจพบได้จากการวัดความดันโลหิตได้ในระดับที่สูงกว่าปกติ หรือเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2542 ว่า ผู้ใดก็ตามที่มีความดันโลหิตวัดได้มากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันสูง โดยผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และไม่ยอมรักษาให้ถูกต้อง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ อย่าง

  • โรคอัมพาตจากหลอดเลือดในสมองตีบ 
  • โรคหลอดเลือดในสมองแตก 
  • โรคหัวใจขาดเลือด
  • โรคหัวใจวาย
  • โรคไตวาย
  • โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง

อย่างไรก็ตาม โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยปัจจุบันมีการสำรวจพบว่าคนไทยประมาณร้อยละ 20 เป็นโรคความดันโลหิตสูง โดยคนส่วนใหญ่ที่ความดันโลหิตสูงมักจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรค ซึ่งเมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนมากจะไม่ได้รับการดูแลรักษา และเมื่อเริ่มมีอาการ หรือภาวะแทรกซ้อนจึงจะเริ่มรักษา ส่งผลให้การรักษาไม่ดีเท่าที่ควร 

เนื่องจากการควบคุมความดันโลหิตให้ปกติอย่างสม่ำเสมอ สามารถลดโอกาสการเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้อย่างชัดเจน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก นอกจากนี้เรายังสามารถเช็กได้ว่าเป็นความดันโลหิตสูงหรือไม่ โดยความดันปกติจะอยู่ 120/80 มิลลิเมตรปรอท

แต่ถ้าหากมีค่าความดันซิสโตลี (ค่าความดันตัวบน) มากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท หรือค่าความดันไดแอสโตลี (ค่าความดันตัวล่าง) มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิเมตรปรอท โดยให้วัดในขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะพัก หรือช่วงที่คุณกำลังมีอาการของโรคความดันสูง 

ปัจจัยที่มีผลต่อ อาการความดันสูง มีอะไรบ้าง

อาการความดันสูง

ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัย และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ดังนี้

  • อายุ

ส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้น เช่น อายุ 18 ปี ความดันโลหิตเท่ากับ 120/70 มิลลิเมตรปรอท แต่พออายุ 60 ความดันโลหิตอาจเพิ่มขึ้นเป็น 140/90 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้นเสมอไป

  • เวลา

ความดันโลหิตจะขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เท่ากันตลอดทั้งวัน อาทิ ตอนเช้าความดันซิสโตลิกอาจจะวัดได้ 130 มิลลิเมตรปรอท ในขณะที่ตอนบ่ายอาจวัดได้ 140 มิลลิเมตรปรอท หรือขณะนอนหลับอาจวัดได้ต่ำถึง 100 มิลลิเมตรปรอท

  • จิตใจและอารมณ์

จิตใจ และอารมณ์ มีผลต่อความดันโลหิตได้มาก ขณะที่ได้รับความเครียด อาจทำให้ความดันโลหิตสูงกว่าปกติได้ถึง 30 มิลลิเมตรปรอท หรือในขณะที่พักผ่อนความดันโลหิต ก็สามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ หรือเมื่อรู้สึกเจ็บปวดก็เป็นสาเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้

  • เพศ

ปกติแล้วพบว่าเพศชาย จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้มากกว่า ในขณะที่เพศหญิงจะมีแนวโน้มเป็นโรคความดันโลหิตสูงเมื่ออายุเกิน 65 ปีขึ้นไป

  • พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

คนที่พ่อแม่ หรือคนในครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติในครอบครัว หรือสิ่งแวดล้อมที่เคร่งเครียด ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคความดันสูงด้วยเช่นกัน

  • สภาพภูมิศาสตร์

ผู้ที่อาศัยอยู่ในสังคมเมือง พบว่ามีคนเป็นภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าในสังคมชนบท เพราะสิ่งแวดล้อมที่เคร่งเครียดในเมือง อาจทำให้มีแนวโน้มเป็นโรคความดันสูงขึ้น

  • เชื้อชาติ

จากการสำรวจพบว่าชาวแอฟริกัน และอเมริกัน มักจะมีความดันโลหิตสูงขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น และมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อย่าง โรคหลอดเลือดสมอง หัวใจวาย หรือไตวาย เมื่อเทียบกับคนผิวขาว

  • อาหารรสเค็ม

ผู้ที่ทานอาหารรสเค็มจัด จะมีโอกาสเกิดโรคความดันสูงมากกว่าผู้ที่ไม่ทานอาหารรสเค็มจัด เพราะอาหารที่มีโซเดียมสูง อาจทำให้เกิดการคั่งของของเหลว ที่ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง

เช็กให้ชัวร์ ใครบ้างที่เสี่ยงต่อ อาการความดันสูง 

อาการความดันสูง

ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ส่วนมากมักไม่แสดงอาการ แต่บางรายพบว่ามีอาการปวดหัว เวียนหัว มึนงง และเหนื่อยง่ายผิดปกติ ซึ่งหากมีภาวะความดันสูงนาน ๆ โดยที่ไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้อวัยวะสำคัญในร่างกายถูกทำลาย อาทิ หัวใจ สมอง ไต หลอดเลือด และตา เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้ผนังหลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้น และรูเล็กลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้น้อยลง ทำให้อวัยวะนั้น ๆ ทำงานผิดปกติ หรือในกรณีอวัยวะถูกทำลายอย่างรุนแรง อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

 

นอกจากนี้ ความดันโลหิตสูง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 2 กรณี คือ

กรณีที่ 1: ภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงโดยตรง ได้แก่ ภาวะหัวใจวาย หรือหลอดเลือดในสมองแตก

กรณีที 2: ภาวะแทรกซ้อนจากหลอดเลือดแดงตีบ หรือตัน เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ โดยจากข้อมูลทางการแพทย์ระบุไว้ว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และไม่ได้รับการรักษา จะเสียชีวิตจากหัวใจวายถึงร้อยละ 60-75 เสียชีวิตจากหลอดเลือดในสมองอุดตัน หรือแตก ร้อยละ 20-30 และเสียชีวิตจากไตวายเรื้อรังร้อยละ 5-10 

 

อย่างไรก็ตาม อาการความดันสูง เป็นภัยเงียบที่อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ดังนั้นการดูแลตัวเอง และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ