You are currently viewing รู้เท่าทันป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยวิธีง่ายๆที่คุณเองก็ทำได้

รู้เท่าทันป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยวิธีง่ายๆที่คุณเองก็ทำได้

ทำไมผู้สูงอายุหลายๆคน เริ่มมีอาการใบหน้าผิดรูปไม่มีสาเหตุ บางคนมีภาวะแขนขาอ่อนแรง  เมื่อเกิดอาการเหล่านี้มักจะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน  เช่น เบลอๆ มึนงง พูดไม่ชัดสื่อสารลำบาก  เคี้ยวอาหารได้ยากกลืนกินลำบาก บางคนหกล้มบาดเจ็บ บางคนกลายเป็นอัมพฤกติ อัมพาต   อาการเหล่านี้อาจเรียกรวมๆว่า “โรคหลอดเลือดสมอง” หรือที่เรียกว่า Stroke เป็นโรคอันตราย จัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่เกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงสมองหรือการเส้นเลือดตีบ ส่งผลให้เนื้อสมองถูกทำลายและเสียการทำงานไป ผู้ที่เคยเป็น “สโตรก”  ต้องใช้เวลาพักฟื้นและทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายแล้ว ยังมีความเสี่ยงที่อาจกลับไปเป็นได้อีก และต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันการเป็นซ้ำที่อาจเกิดขึ้นได้อีก

“โรคหลอดเลือดสมอง” เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทั้งจากภาวะ “หลอดเลือดสมองตีบ” อุดตัน หรือแตก ทำให้เนื้อสมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร จนเซลล์สมองค่อยๆ ตายลงในที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความบกพร่องในการทำงานของระบบประสาทตามมา เช่น อาการอัมพาตแขนขาซีกใดซีกหนึ่ง พูดลำบาก สับสน มองเห็นภาพซ้อน เดินเซ เป็นต้น โดยระยะเวลาที่เนื้อสมองจะถูกทำลายขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการขาดเลือด และความรวดเร็วของการรักษา

สโตรค ป้องกันได้ ด้วย 9 เทคนิค 

1.ควบคุมความดันโลหิต 

อย่ารอที่จะวัดความดันโลหิตเมื่อพบแพทย์เท่านั้น  ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงควรหมั่นวัดความดันด้วยตัวเองเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยให้เรามองเห็นสัญญานความเสี่ยงของร่างกายตนเอง ค่าความดันโลหิตที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติคือต่ำกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท ความดันโลหิตสูงถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ของ “โรคหลอดเลือดสมอง” เพราะ เมื่อความดันสูง ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ โลหิตหมุนเวียนติดขัด เกิดการโป่งพอง จนอาจโอกาสให้หลอดเลือดแตกทะลุได้

2.ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องสามารถทำให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดแข็งตัวและแคบลง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดสมองอุดตันหรือสโตรคแบบขาดเลือด (ischemic stroke) อีกทั้ง น้ำตาลในเลือดที่สูงอาจทำให้เลือดข้นหนืด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ยากและเพิ่มโอกาสในการเกิดลิ่มเลือด

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง จะทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและเปราะบาง นำไปสู่การเกิด “โรคหลอดเลือดสมอง” ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมาย งดอาหารหวาน มัน เค็ม และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการใช้ยาตามแพทย์สั่ง

3. ลดระดับไขมันตัวเลวในเลือด

คอเลสเตอรอล LDL ที่สูงสามารถนำไปสู่การสะสมของคราบไขมันในผนังหลอดเลือด ซึ่งสามารถทำให้หลอดเลือดแข็งและแคบลง กระบวนการนี้เรียกว่า โรคหลอดเลือดแข็งตัว หรือ อะเธอโรสเคลอโรซิส atherosclerosis  หลอดเลือดที่แคบลงทำให้เลือดไหลผ่านได้ยากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดออกซิเจนและสารอาหารที่สำคัญต่อสมอง การขาดเลือดหรือการขาดออกซิเจนอาจนำไปสู่การเกิดสโตรคแบบขาดเลือด

4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรคได้ โการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันสโตรคคือการออกกำลังกายแบบมีใช้ออกซิเจนหรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิค  เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ จ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน โยคะ อย่างน้อยวันละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน จะช่วยให้หัวใจแข็งแรง กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดความดันโลหิต ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดได้เป็นอย่างดี

5.ควบคุมน้ำหนักตัว

ภาวะอ้วนลงพุง Obesity จะส่งผลให้ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของ “โรคหลอดเลือดสมอง” ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน รับประทานอาหารแต่พอดี ไม่จุกจิก และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

6. เลิกสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าและลดดื่มแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่จะทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการเสื่อมและแข็งตัว เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ง่าย ส่วนแอลกอฮอล์จะไปกดการทำงานของสมอง ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เพิ่มโอกาสเกิด “โรคหลอดเลือดสมอง” ได้เช่นกัน

7.หลีกเลี่ยงความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ

ความเครียดเรื้อรังจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งมีผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เพิ่มภาระการทำงานของหัวใจมากขึ้น จึงควรเรียนรู้วิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น ดนตรี เต้นรำ การฝึกหายใจ ทำสมาธิ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง

8. ตรวจร่างกายและคัดกรองโรคเป็นประจำ

ควรไปตรวจร่างกายและคัดกรองโรคเรื้อรังต่างๆ กับแพทย์เป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อประเมินความเสี่ยงและติดตามการรักษา โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็น “โรคหลอดเลือดสมอง” ถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป ควรเข้ารับการตรวจร่างกายบ่อยขึ้นและปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด

9. รับประทานอาหาร และอาหารเสริมสุขภาพที่เป็นประโยชน์

ควรรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตที่ซับซ้อน เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก และผลไม้ เพื่อช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและคาร์โบไฮเดรตแปรรูป 

กินอาหารที่มีโปแตสเซียมสูงและโซเดียมต่ำ เช่น ผัก, ผลไม้, ธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี และนมที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำมัน ไขมันอิ่มตัว และโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป, อาหารจำพวกขนมขบเคี้ยว และอาหารปรุงสำเร็จ

รับประทาน COFFOGENIC เป็นโภชนเภสัชภัณฑ์ Nutraceutical จากธรรมชาติ เป็นประจำ ที่ช่วยให้ท่านหลีกเลี่ยงการสะสมไขมันเลวได้ด้วยเช่นกัน ดื่มวันละขวด สุขใจไกลไขมัน อยู่ด้วยกันไปนานๆ

เมื่อพบว่าบุคคลใดมีอาการของโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรค (stroke) มีขั้นตอนที่ควรดำเนินการทันทีเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและลดความเสียหายต่อสมอง นี่คือการดำเนินการที่สำคัญ:

  1. ระบุอาการสโตรคด้วยกฎ FAST

   – F (Face) ขอให้ผู้ป่วยยิ้มหรือโชว์ฟัน หากมีการเอียงหรือหย่อนของหน้าที่เห็นได้ชัดเจนบนหนึ่งฝั่ง นี่อาจเป็นสัญญาณของสโตรค
  – A (Arms) ขอให้ผู้ป่วยยกทั้งสองแขนขึ้น หากแขนหนึ่งห้อยลงมา นั่นอาจเป็นอาการของสโตรค
  – S (Speech) ขอให้ผู้ป่วยพูดหรือท่องประโยคง่ายๆ หากพูดไม่ชัดหรือมีปัญหาในการสื่อสาร อาจเป็นสโตรค
  – T (Time) หากพบอาการเหล่านี้ในผู้ป่วย ให้โทรหาบริการฉุกเฉินทันที และจำเวลาที่อาการเริ่มต้น เนื่องจากการรักษาที่เร็วที่สุดจะช่วยลดความเสียหายต่อสมองได้มาก

  1. โทรเรียกพยาบาลหรือฉุกเฉินทันที (1669 ในประเทศไทย) การรักษาสโตรคจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
  2. ไม่ให้ผู้ป่วยรับประทานหรือดื่มใดๆ  เนื่องจากสโตรคอาจทำให้เกิดปัญหาการกลืน ซึ่งอาจนำไปสู่การสำลักหรืออันตรายจากการหายใจเข้าไปในปอด
  3. ให้ความสะดวกและปลอดภัย  พยายามทำให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหรือนั่งสบาย หากมีอาการชักหรืออาเจียน ให้นำผู้ป่วยไปอยู่ในท่านอนตะแคงเพื่อป้องกันการสำลัก

การตอบสนองที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเมื่อพบอาการของสโตรคสามารถช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของความเสียหายต่อสมองได้อย่างมาก และช่วยเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวของผู้ป่วย