
บริษัทฮิลล์คอฟฟ์ ร่วมกับคณะทำงานจากสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ได้ลงพื้นที่แปลงปลูกกาแฟของเกษตรกรในบ้านแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ระหว่างการเดินทาง พบว่าหลายพื้นที่ของป่ายังคงมีร่องรอยการเผาไหม้ ปรากฏเศษซากตอไม้ที่ดำคล้ำ และกลิ่นควันยังคงคละคลุ้งอยู่ในอากาศ เหตุการณ์เหล่านี้นำมาซึ่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนี้






ความเสื่อมโทรมของดิน
การขาดพืชคลุมดินและรากไม้ที่ช่วยยึดโครงสร้างดิน ทำให้ดินบนภูเขาเกิดการชะล้างอย่างรุนแรงในช่วงฤดูฝน ดินชั้นดีที่สะสมมานานหลายสิบปีอาจถูกพัดพาไปจนหมดภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งฤดูกาล
วงจรน้ำถูกรบกวน
ป่าไม้ทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำธรรมชาติในการกักเก็บและปล่อยน้ำอย่างสมดุล การสูญเสียป่าทำให้น้ำฝนไม่สามารถซึมลงดินได้ตามปกติ แต่จะไหลบ่าอย่างรวดเร็ว นำไปสู่ภัยพิบัติน้ำหลากฉับพลันในฤดูฝน และภาวะแล้งรุนแรงในฤดูร้อน
การสูญเสียจุลินทรีย์และระบบนิเวศในดิน
การเผาทำลายพื้นที่ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในดิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างความอุดมสมบูรณ์ของดิน ต้องสูญสิ้นไป เป็นการทำลายระบบนิเวศใต้ดินที่มีผลกระทบยาวนาน
และเมื่อถึงพื้นที่สวนกาแฟของ คุณแพรววนิต บ้านวะเบลอลู่ เราได้พบตัวอย่างของการอนุรักษ์ป่าอย่างแท้จริง ผืนป่ายังหายใจได้ พื้นที่ดังกล่าวยังคงเป็น “ป่ากาแฟ” ที่มีการผสมผสานพืชกาแฟกับผลไม้ป่า พืชสมุนไพร และพันธุ์ไม้พื้นถิ่นอย่างกลมกลืน เกษตรกรในพื้นที่ให้ความสำคัญกับการหลีกเลี่ยงการใช้ไฟในการจัดการพื้นที่ และหันมาใช้แนวกันไฟ การปลูกพืชคลุมดิน และระบบวนเกษตร (Agroforestry) แทน
กาแฟจึงไม่ใช่แค่พืชเศรษฐกิจ แต่ยังทำหน้าที่เป็น “เครื่องมือในการอนุรักษ์ป่าไม้” และเป็น “ตัวกลาง” ที่ช่วยเชื่อมโยงสู่การเปลี่ยนแปลงแนวทางการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน
การส่งเสริมแนวคิดการปลูกกาแฟควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ป่า เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ร่วมกันรักษาป่า ฟื้นคืนผืนดิน ปกป้องอนาคตของโลก
ทุกการตัดสินใจในวันนี้ กำหนดคุณภาพชีวิตของคนรุ่นต่อไป เลือกการบริโภคอย่างรับผิดชอบ สนับสนุนการปลูกกาแฟที่ยั่งยืน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมในทุกการกระทำ
มาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ดีกว่า เพราะโลกใบนี้… ต้องการเราทุกคน



