You are currently viewing ความหวานของทุเรียนในฤดูร้อน อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงต่อสุขภาพ !

ความหวานของทุเรียนในฤดูร้อน อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงต่อสุขภาพ !

ความหวานของทุเรียนในฤดูร้อน อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงต่อสุขภาพ!

คลื่นความร้อนมักมาพร้อมกับฤดูการเก็บเกี่ยว รับประทาน ผลไม้ระดับเทพของไทย  ราชาผลไม้ที่เป็นที่นิยม ทุเรียน นั่นเอง  ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสความคลั่งไคล้จากนักท่องเที่ยว ชาวจีน กระตุ้นทั้งความอยากทุเรียนในคนไทยได้ไม่น้อย  คุณคือคนนึงที่รอให้ถึงปลายเดือนเมษายน ต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อจะได้ควักประเป๋าลิ้มลองทุเรียนภาคตะวันออก 

ลูกโตโตหอมๆ ซักลูกสองลูก

 

แพทย์แผนไทย ทุเรียนจัดเป็นอาหาร “ธาตุไฟ” สูง เนื่องจากมีคุณสมบัติในการทำให้ร่างกายร้อน 

ดังนั้น จึงเหมาะกับคนที่มีธาตุเย็น อาทิ “ธาตุน้ำ” และ “ธาตุลม” เพราะสามารถช่วยสร้างสมดุลธาตุภายในร่างกายได้ดี

คุณล่ะ………เป็นคนธาตุไหน

  • คนธาตุน้ำ โดยทั่วไปคนธาตุน้ำจะมีร่างกายเย็น การบริโภคทุเรียนซึ่งมีลักษณะร้อนสามารถช่วยปรับสมดุลอุณหภูมิ
    ในร่างกายได้
  • คนธาตุลม มักมีลักษณะที่เย็นและแห้ง ทุเรียนสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความร้อนภายในร่างกาย ช่วยให้
    รู้สึกอบอุ่นและสบายขึ้น
  • คนธาตุดิน มีร่างกายที่มีความสมดุลและทนทาน สามารถทานทุเรียนได้โดยไม่มีปัญหามากนัก แต่ก็ควรระวัง
    ไม่ให้ทานมากเกินไปเพื่อป้องกันอาการท้องอืดหรือท้องเฟ้อ
  • คนธาตุไฟ ตำราธาตุว่าไม่เหมาะกับทุเรียน เนื่องจากธาตุไฟในร่างกายสูงอยู่แล้ว การบริโภคทุเรียนที่มีธาตุไฟเข้าไปอีก อาจทำให้รู้สึกไม่สบาย เป็นร้อนใน มีปัญหาทางเดินอาหาร

ทั้งนี้  คนธาตุไฟ ก็อย่ากังวลจนเกินไป ความสมดุลร้อนเย็นของร่างกายเราสามารถดูแลได้เองด้วยการเลือกทานอาหารดับร้อนอื่นๆควบคู่กันไปตามหลักแพทย์แผนไทย อาทิ แตงกวา แตงโม ใบบัวบก มะนาว มะพร้าว เป็นต้น

การทานทุเรียนในช่วงหน้าร้อนอาจมีผลเสียต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะ หากทานตามใจทานในปริมาณมากหรือร่วมกับอาหารอื่นที่ไม่เหมาะสม ปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้:อาทิ

  • ความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้น  ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีพลังงานสูงและทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น การทานทุเรียนมากๆ ในช่วงอากาศร้อนอาจทำให้รู้สึกไม่สบาย หรือเกิดอาการร้อนในได้
  • ปัญหาทางเดินอาหาร ทุเรียนมีไฟเบอร์สูงและน้ำตาลมาก การบริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องร่วงได้
  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น  ทุเรียนมีแคลอรี่สูง การกินมากเกินไปท่านอาจสังเกตุเห็นได้ทันทีจากน้ำหนักตัวที่เริ่มเอาไม่อยู่
  • โรคเบาหวาน  สำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวาน ควรระมัดระวังในการบริโภคทุเรียน เนื่องจากมีน้ำตาลสูง อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้

ทุเรียนมีกลิ่นฉุนรุนแรงกว่าผลไม้อื่นๆ มาก จนได้รับการขนานนามว่าราชาแห่งผลไม้ โรงแรม สถานที่สาธารณะบางแห่งไม่อนุญาตให้นำเข้ามารับประทานได้  เพราะเกรงจะรบกวนคนที่ไม่ชอบ หรือ ติดตามเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้น  กลิ่นฉุนของทุเรียนถือเป็นการปรับตัวทางชีวภาพที่ช่วยให้ผลไม้ดึงดูดสัตว์ และมนุษย์เรามากินเนื้อผลไม้และช่วยในการแพร่พันธุ์ 

 

กลิ่นของทุเรียนเกิดจากมีการผลิตสารประกอบที่เรียกว่า “โวลาไทล์ซัลเฟอร์คอมพาวด์”
(Volatile Sulfur Compounds) หรือ VSCs ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีซัลเฟอร์และมีคุณสมบัติที่ระเหยได้ง่าย
นอกจากนี้ ทุเรียนยังมีสารประกอบอินทรีย์อื่นๆ เช่น น้ำตาลและกรดอะมิโนที่มีอยู่ในเนื้อทุเรียนเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเมื่อสุก ส่งผลให้กลิ่นของทุเรียนฉุนยิ่งขึ้น

การวิจัยได้แยกและระบุโวลาไทล์หลายชนิดในทุเรียน

  • Ethyl (2S)-2-methylbutanoate: มีกลิ่นหอมหวานที่สามารถพบได้ในผลไม้หลายชนิด แต่เมื่อผสมกับสารอื่น
    ในทุเรียนจึงส่งผลให้เกิดกลิ่นที่ไม่เหมือนใคร
  • 1-(Ethylsulfanyl)ethane-1-thiol: สารประกอบซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดกลิ่นฉุน มีส่วนช่วยให้ทุเรียนมีกลิ่นเฉพาะตัว
  • Hydrogen sulfide: ให้กลิ่นที่คล้ายกับไข่เน่า ช่วยเพิ่มความฉุนให้กับทุเรียน
  • Disulfides และ trisulfides: ช่วยเพิ่มระดับความฉุนและความเข้มข้นของกลิ่น

ในทุเรียนมีความหวานจากธรรมชาติ น้ำตาลธรรมชาติ (ฟรุกโตส) อยู่สูงมาก  การรับประทานมากเกินไปอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ในทุเรียนแต่ละสายพันธุ์มีปริมาณน้ำตาลและรสชาติที่แตกต่างกัน สภาพแวดล้อมที่ปลูกก็ยังก็ส่งผลถึงระดับความหวานและความเข้มข้นของรสชาติต่างกัน เพื่อสุขภาพเราควรเลือกทานทุเรียนสายพันธุ์ใด

  • ทุเรียนหมอนทอง: หนึ่งในสายพันธุ์ยอดนิยมของประเทศไทย ที่มีรสชาติหวานมากและมีกลิ่นหอมเข้มข้น มีปริมาณน้ำตาลสูง
  • ทุเรียนชะนี: มีรสชาติหวานผสมเปรี้ยวน้อยๆ ทำให้รสชาติอาจไม่หวานเท่าหมอนทอง แต่ก็ยังมีน้ำตาลในปริมาณที่ค่อนข้างสูง
  • ทุเรียนก้านยาว: มีรสชาติที่อาจแตกต่างไปตามสภาพแวดล้อมที่ปลูก แต่โดยทั่วไปจะมีรสชาติหวานน้อยกว่าหมอนทอง
  • ทุเรียนพวงมณี: สายพันธุ์นี้มีเนื้อที่หวานและละเอียด ปริมาณน้ำตาลอาจสูง เช่นกัน เนื่องจากรสชาติหวานมาก

ระดับน้ำตาลในทุเรียนอาจส่งผลต่อการบริโภคของผู้ที่มีข้อจำกัดทางสุขภาพ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ดังนั้นการเลือกทานทุเรียนโดยพิจารณาสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับสุขภาพของตนเอง และสุขภาพกระเป๋าของเราก็เป็นสิ่งสำคัญนะค

นอกจากการคำนึงถึงปริมาณน้ำตาล ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิดด้วยเช่นกัน  แต่การบริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ นี่คือสารอาหารหลักๆ ในทุเรียนที่อาจมีผลเสียหากบริโภคมากเกินไป

  • แคลอรี่สูง ทุเรียนมีแคลอรี่สูงมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาน้ำหนักเพิ่มหากบริโภคมากเกินไป ส่งผลให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว เช่น โรคอ้วนหรือโรคเบาหวาน
  • ไขมัน ทุเรียนมีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลและเสี่ยงต่อโรคหัวใจหากบริโภคในปริมาณมาก
  • โพแทสเซียม แม้ว่าโพแทสเซียมจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและการควบคุมความดันโลหิต แต่การได้รับโพแทสเซียมมากเกินไปอาจเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่มีปัญหาไต หรือผู้ที่รับประทานยาควบคุมความดันโลหิตบางชนิด

ดังนั้น แม้ทุเรียนจะเป็นผลไม้ที่อร่อยและมีสารอาหารมากมาย.เพื่อสุขภาพที่ดี ควรบริโภคทุเรียนในปริมาณที่พอเหมาะและไม่ทานร่วมกับอาหารที่อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น น้ำอัดลม หรือ แอลกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ง่ายขึ้น

เรามีคำแนะนำด้านสุขภาพสำหรับผู้ที่กังวล หรือ มีปัญหาสุขภาพด้านระบบเผาผลาญดังนี้ค่ะ 

  • ควรควบคุมปริมาณบริโภค  ทุเรียนมีแคลอรี่และน้ำตาลสูง ดังนั้นควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ ประมาณ 1-2 ก้อนเล็ก หรือประมาณ 1-2 ชิ้นขนาดเล็กต่อครั้ง
  • ไม่รับประทานร่วมกับ น้ำอัดลม แอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน การกินทุเรียนร่วมกับแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มมีคาเฟอีนอาจทำให้เกิดอาการไม่สบาย เช่น ท้องอืดหรือท้องเฟ้อ เนื่องจากทุเรียนทำให้กระบวนการย่อยอาหารล่าช้า
  • หลีกเลี่ยงหากมีปัญหาสุขภาพ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร หรือโรคไต ควรปรึกษาแพทย์ หรือนักโภชนาการ ก่อนรับประทานทุเรียน เพื่อประเมินและรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสุขภาพ สภาพร่างกายแต่ละบุคคลว่าควรกินในปริมาณเท่าไร หรือควรหลีกเลี่ยงหรือไม่
  • เลือกรับประทานในเวลาที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการกินทุเรียนก่อนนอนเนื่องจากมีแคลอรี่สูงและอาจทำให้ย่อยยาก การกินทุเรียนควรเป็นช่วงหลังมื้ออาหารหลักหรือเป็นของว่างในช่วงบ่าย แน่นอนว่าไม่ควบรับประทานทุเรียนในขณะท้องว่าง เพราะจะทำให้รัดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเร็วผิดปกติ  การทานหลังมื้ออาหารจะช่วยกระจายการดูดซึมน้ำตาลในทุเรียนออกไปยาวนานขึ้น ลดผลกระทบของระดับน้ำตาลในเลือด   อย่างไรก็ดี ทุเรียนมีแคลอรี่สูง การทานหลังอาหารอาจทำให้รับพลังงานเกินความต้องการของร่างกาย ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือมีภาวะเมแทบอลิก

เลือกทุเรียนที่สุกพอดี ไม่สุกจัด เพื่อหลีกเลี่ยงน้ำตาล อย่ารับประทานทุเรียนที่มีกลิ่นผิดปกติ เพื่อป้องกันปัญหาท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษ

ขอแนะนำเป็นพิเศษจากทีมงานคอฟโฟจีนิค ซึ่งชอบทานทุเรียนด้วยเช่นกัน 

เราควรรับประทานทุเรียนร่วมกับอาหารที่มีไฟเบอร์สูง โปรตีน และไขมันดี สามารถช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและปรับปรุงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ อาทิ

อาหารที่มีไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์ช่วยชะลอการย่อยและการดูดซึมน้ำตาล อาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักใบเขียว แอปเปิ้ล ลูกพรุน และถั่ว เป็นตัวเลือกที่ดี

อาหารที่มีโปรตีนสูง โปรตีนช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่มและชะลอการย่อย ซึ่งช่วยปรับปรุงการควบคุมน้ำตาลในเลือด อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ที่ไม่มีมัน ปลา ไก่ไม่มีหนัง และเต้าหู้

อาหารที่มีไขมันดี  ไขมันดีช่วยชะลอการย่อยอาหารและการดูดซึมของน้ำตาล อาหารที่มีไขมันดี เช่น อะโวคาโด ถั่ว และเมล็ดฟักทอง รวมถึงน้ำมันโอเมก้า-3 จากปลา

ผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงและน้ำตาลต่ำ การรวมผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงและน้ำตาลต่ำ เช่น ผลเบอร์รี่ต่างๆ อาจช่วยให้การบริโภคทุเรียนมีผลกระทบน้อยลงต่อระดับน้ำตาลในเลือด

การเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้ร่วมกับทุเรียนไม่เพียงแต่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายและสมดุล ซึ่งมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมสุขภาพโดยรวมนะคะ